ข้อความจาก อาสาสมัคร ผมไปเยี่ยมศูนย์การเรียนบ้านสายรุ้งเป็นครั้งแรก หลังจากที่ได้รู้จักกับพวกเขาผ่าน Facebook ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ เพียง 8 วัน แต่ผมก็ได้เรียนรู้มากมายจากเด็ก ๆ ที่เป็นมิตร ครูโทโมโกะ และเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ในโรงเรียน ในญี่ปุ่น ผมมีส่วนร่วมกับการฝึกอบรมนักเรียนที่ต้องการเป็นครู แต่ผมมีคำถามมากมายเกี่ยวกับการเรียนรู้และโรงเรียนโดยทั่วไป ว่า “ นักเรียนจะมีความสุขกับชีวิตส่วนตัวและการเป็นนักเรียนได้อย่างไร มันมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง”เป็นคำถามที่วนอยู่ในหัวผม แต่เสียงนี้หายไปทันทีหลังจากที่ผมได้พบกับเด็ก ๆ และครูจากศูนย์การเรียนบ้านสายรุ้ง สิ่งนี้ทำให้ผมตัดสินใจจะพานักเรียนบางคนไปในครั้งต่อไปที่ผมไปเยี่ยมศูนย์การเรียน โยชิกิ โกโต (02/2020) ความคิดแรกที่ผมมีหลังจากการเยี่ยมชม คือ ผมต้องการให้คนรู้จักและเยี่ยมชมโรงเรียนมากขึ้น การไปครั้งนี้อาจเปลี่ยนค่านิยมและมุมมองชีวิตของคุณ ผมอยากให้คนญี่ปุ่นมาเยี่ยมโรงเรียนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แม้ว่าสิ่งนี้จะคล้ายกับความประทับใจที่คุณได้รับทางออนไลน์ เช่น Facebook แต่ในความเป็นจริงมีงานหนักมากมายที่อยู่เบื้องหลังการโพสต์ภาพถ่ายที่สวยงาม จริงๆแล้วมันคือการต่อสู้ในชีวิตประจำวันของโทโมโกะ ยูสึเกะ และครูคนอื่น ๆ ผมจะบอกว่ามันคือ 20% ของช่วงเวลาที่สวยงามและสนุกสนานและ 80% ของการทำงานหนัก ในสถานศึกษาของญี่ปุ่นปัญหาในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องสำคัญ นอกเหนือจากพิธีการ เช่น การแสดงจบการศึกษาและการชุมนุมศิษย์เก่า เหมือนกันที่ศูนย์การเรียนบ้านสายรุ้ง ผมต้องการให้คนที่ต้องการท้าทายและพัฒนาตัวเองไปเยี่ยมชมและใช้เวลาที่นั่น ผมได้ยินครูบางคนหงุดหงิดที่ได้ยินอาสาสมัครบางคนบอกว่ามันไม่ใช่งานหนักอย่างที่คิด หากคุณใส่ใจ คุณจะเห็นความเอาใจใส่และการพิจารณาของพวกเขา ทั้งครูและเด็ก ๆ ดูแลตัวเองในขณะที่อยู่ในโรงเรียนจริงๆ เมื่อมีบางอย่างเกิดขึ้น มีคนขอให้ผมช่วยเสมอ เมื่อผมนอนลงจากความเหนื่อยล้ามีใครบางคนเอาผ้าห่มมาให้ผม ความห่วงใยเงียบ ๆ เหล่านี้ปรากฏขึ้นเพื่อให้ผมได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม พวกเขาช่างมีน้ำใจ ผมอยากให้คนเหล่านี้ได้รับการยอมรับ เด็กๆ มีความคิดสร้างสรรค์ และตอบสนองอย่างรวดเร็วและนี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อ เด็กเหล่านี้มีพลังที่จะเอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์ ตัวอย่างเช่น เราอยู่ระหว่างการระบาดของโรคโคโรนาซึ่งทำให้เกิดปัญหามากมาย ผมเห็นผู้คนมากมายที่แสดงความคิดเชิงลบหยุดคิดหรือทำให้สถานการณ์ซับซ้อนเกินไป บางคนหันไปวิพากษ์วิจารณ์ชาวจีนอย่างรุนแรงโดยชี้ถึงปัญหาด้านสุขอนามัยของคนจีน และเรียกร้องให้รัฐบาลญี่ปุ่นปฏิเสธคนจีน บางคนกลัวสถานการณ์มากเกินไปจนละเว้นการออกไปข้างนอก บางคนก็ซื้อกระดาษทิชชู่มาสต็อกไว้โดยไม่คิดถึงคนอื่น โยชิกิ โกโต (02/2020) เมื่อผมคิดถึงสาเหตุที่ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ผมก็สามารถหาเหตุผลในการศึกษาของญี่ปุ่นได้ เนื่องจากระบบการศึกษาของเราไม่ได้ทำให้เด็กคิดและเตรียมรับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน แต่เน้นหาคำตอบที่ "ถูกต้อง" ความคิดของเราง่ายเกินไปที่จะอยู่รอดในเวลาและปัญหาที่ไม่แน่นอน เราไม่เก่งเรื่องการคิดวิเคราะห์และสร้างสรรค์ เมื่อผมสังเกตเห็นเด็ก ๆ ที่ศูนย์การเรียนบ้านสายรุ้งพยายามและแสดงออกเวลาที่พวกเขาประสบปัญหาบางอย่าง พวกเขามองปัญหาเป็นโอกาสในการคิดต่างหรือวิธีอื่นๆที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยการคิด วิเคราะห์ ไตร่ตรอง ตัวอย่างเช่น เมื่อจักรยานเสีย คนญี่ปุ่นอาจยอมแพ้ เนื่องจากไม่มีเครื่องมือ แต่เด็ก ๆ ที่โรงเรียน ใช้เทปในการซ่อมจักรยาน เด็กคนหนึ่งพูดว่า "ถ้ายางแบน ฉันก็ซ่อมได้เหมือนพวกช่างโตๆ" ในความคิดของเขา เมื่อเจอยางแบน เขาสามารถแก้ปัญหาเหมือนที่พวกคนโตๆ สามารถทำได้ อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ เมื่อเด็กคนหนึ่งร้องไห้ในตอนกลางคืน ถ้าอยู่ในญี่ปุ่น เขาอาจถูกบอกให้เงียบ แต่เขาได้รับการดูแลจากเด็กโตคนอื่น ๆ พวกเขาบอกกับผมว่าพวกเขาต้องการปลอบโยนเด็กที่ร้องไห้ เพราะพวกเขาได้รับการดูแลเมื่อพวกเขายังเล็กและร้องไห้ในตอนกลางคืน ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่เราสูญเสียไปในญี่ปุ่น เนื่องจากระบบทุนนิยมฝึกให้เราเห็นความสำคัญของเงินทองเป็นหลัก โยชิกิ โกโต (02/2020)
ข้อความจาก
อาสาสมัคร
โยชิกิ โกโต
(02/2020)โยชิกิ โกโต
(02/2020)โยชิกิ โกโต
(02/2020)